เนื่องมาจากเหตุการณ์ในวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๒ ที่เกี่ยวข้องกับ ฯพณฯ พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย
ผู้นำไทยส่วนหนึ่งได้แสดงปฏิกิริยาอย่างต่อเนื่องบนบรรทัดฐานของสนธิสัญญา ส่งตัวระหว่างกัมพูชาและไทยว่า จะร้องขอให้มีการส่งตัวอดีตนายกรัฐมนตรีไทยกลับ หากเดินทางเข้ามายังกัมพูชา สำนักอัยการสูงสุดของไทยได้ยกประเด็นขึ้นว่าทางราชอาณาจักรกัมพูชามีสิทธิ์ ที่จะปฏิเสธคำขอดังกล่าว แต่ต้องอธิบายความและให้เหตุผลอันสอดคล้องกับหลักปฏิบัติระหว่างประเทศ ในอีกกรณีหนึ่ง รองนายกรัฐมนตรีของไทยกล่าวว่าไทยมีสิทธิ์ที่จะขอให้ส่งตัวคุณทักษิณกลับไทย ตามหลักการของสนธิสัญญาส่งตัวระหว่างกัมพูชาและไทย ตลอดจนหลักกฎหมายระหว่างประเทศ (แหล่งข่าวจาก: เอเอสทีวี เมเนเจอร์ ออนไลน์ ที่ขึ้นข้อความข่าวนี้เมื่อ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๒ หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ที่ตีพิมพ์เมื่อ ๒๗ และ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๒ และในหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นเมื่อ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๒)
หลังได้พิจารณาประเด็นดังกล่าวแล้ว รัฐบาลกัมพูชาขอตั้งข้อสังเกตต่างๆ ดังนี้:
๑. โดยมาตรา ๓ แห่งสนธิสัญญาส่งตัวระหว่างกัมพูชาและไทยที่ลงนามในกรุงเทพมหานครเมื่อ ๖ พฤษภาคม ๒๕๔๑ และให้สัตยาบรรณพร้อมประกาศใช้ในพระราชบัญญัติที่ N CS/RKM/0799/08 ลงวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๔๒ ผู้ได้รับการร้องขอคือกัมพูชาสามารถพิจารณาได้ก่อนว่า กรณีของคุณทักษิณเป็นเรื่องการเมืองหรือไม่
๒. อ้างถึงกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะมาตรา ๓ ในอนุสัญญายุโรปเกี่ยวกับการส่งตัว ที่ลงนามใช้เมื่อ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ และมาตรา ๓ ของต้นแบบสนธิสัญญาส่งตัวในกรอบองค์การสหประชาชาติเมื่อ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๓๓ การส่งตัวจะกระทำมิได้เลยภายใต้เงื่อนไข ๒ ประการต่อไปนี้:
a. หากคดีความอันเป็นเหตุให้เกิดข้อเรียกร้องส่งตัว มีลักษณะเป็นคดีการเมืองตามความเห็นของประเทศที่ได้รับการร้องขอ
b. หากประเทศผู้ถูกร้องขอมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าการขอให้ส่งตัวเป็นไปโดยจุด ประสงค์เพื่อเอาผิดหรือลงโทษกับบุคคลนั้นๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับเชื้อชาติ สัญชาติ เผ่าพันธุ์ ทัศนะทางการเมือง เพศ ศาสนา หรือสถานภาพทางสังคม จนบุคคลนั้นๆ อาจถูกตัดสินอย่างมีอคติได้
๓. นอกจากนั้นแล้ว เพื่อเน้นหลักปฏิบัติระหว่างประเทศให้ชัดเจนขึ้นอีก โฆษกรัฐบาลขอยกกรณีตัวอย่างจำนวน ๒ กรณีจากคดีที่มีอยู่มากมายและเป็นที่รับรู้ทั่วไปในระดับระหว่างประเทศ นั่นคือคดีระหว่างญี่ปุ่นและเปรู และคดีระหว่างอังกฤษและรัสเซีย ญี่ปุ่นได้ปฏิเสธคำขอของเปรู และอังกฤษก็ได้ปฏิเสธคำขอของรัสเซีย บนหลักการว่าคำร้องขอทั้งสองกรณีนั้นเกี่ยวข้องกับการเมือง
ในกรณีของ ฯพณฯ ทักษิณ กัมพูชาเห็นว่ามีเหตุทางการเมืองอย่างชัดแจ้งในการโค่นผู้นำผู้นี้ลงจาก ตำแหน่งด้วยการรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ในขณะที่ท่านอยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ที่องค์การสหประชาชาติ คดีความมากมายที่ตามมาหลังจากนั้น รวมทั้งการตัดสินลงโทษต่อตัวท่านทั้งสิ้น ล้วนเป็นเรื่องการเมืองทั้งสิ้น
จากข้อพิจารณาทางกฎหมายดังกล่าวทั้งหมด และโดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศทั้งมวล เราจึงขอย้ำอย่างเด็ดขาดว่า ไม่ว่าจะในกรณีใดๆ ก็ตาม ราชอาณาจักรกัมพูชาจะไม่ส่งตัว ฯพณฯ ทักษิณกลับตามคำร้องขอจากประเทศไทย ไม่ว่าในขณะที่ท่านตัดสินใจเข้ามาพำนักหรือเดินทางผ่านกัมพูชาไปยังประเทศ อื่นๆ ก็ตาม เพื่อให้เป็นไปตามความในพระราชกฤษฎีกาที่ NS/RKT/1009/1018 ลงวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๒ ที่ได้โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งท่านเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของสมเด็จฮุน เซ็นผู้เป็นนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาลแห่งชาติกัมพูชา
โฆษกรัฐบาลขอแสดงเจตนารมย์ด้วยว่า รัฐบาลกัมพูชาจะไม่เปลี่ยนแปลงท่าทีในการธำรงรักษาความสัมพันธ์อันดีและความ ร่วมมือในทุกๆ ด้าน ระหว่างราชอาณาจักรกัมพูชาและราชอาณาจักรไทย การเชิญ ฯพณฯ ทักษิณ มายังกัมพูชา เกิดจากความตระหนักในธรรมเนียมโบราณของเราที่ว่า “เพื่อนในยามยาก คือเพื่อนยากที่แท้จริง” (“a friend in need is a friend in deed”)
กรุงพนมเปญ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
แปลโดย จักรภพ เพ๊ญแข
ปล.
เอามาให้อ่านครับ หนังสือฉบับนี้นำมาซึ่งการตอบโต้จากไทยในการถอนฑูตและยกเลิก MOU
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น